การปลูกมะม่วง วิธีการปลูกมะม่วง ขั้นตอนการปลูกมะม่วงให้ได้ผลผลิต อย่า่งต่อเนื่อง ให้รวยอย่างยั่งยืน พอเพียงแบบรวย
การส่งออกมะม่วงไปญี่ปุ่น
การส่งออกมะม่วงไปญี่ปุ่นจะส่งออกได้เฉพาะมะม่วงสดพันธุ์หนังกลางวัน (งาช้าง) น้ำดอกไม้ แรด และพิมเสน โดยมีวิธีการกำจัดศัตรูพืชดังนี้
มะม่วงพันธุ์หนังกลางวันต้องถูกกำจัดแมลงวันผลไม้โดยเครื่องอบไอน้ำด้วยการใช้อากาศร้อนที่อิ่มตัวด้วยไอน้ำเพิ่มอุณหภูมิภายในสุดผลให้คงอยู่เป็นเวลานาน 10 นาที ที่อุณหภูมิ 46.5 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่า หรือการใช้อากาศร้อนที่อิ่มตัวด้วยไอน้ำเพิ่มอุณหภูมิภายในสุดผลให้คงอยู่เป็นเวลานาน 20 นาที ที่อุณหภูมิ 47 องศาเซลเซียส หลังจากที่เพิ่มอุณหภูมิผลขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึง 43 องศาเซลเซียส ด้วยอากาศร้อนที่มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ
มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ แรด และพิมเสน ต้องถูกกำจัดแมลงวันผลไม้โดยเครื่องอบไอน้ำด้วยการใช้อากาศร้อนที่อิ่มตัวด้วยไอน้ำเพิ่มอุณหภูมิภายในสุดผลให้คงอยู่เป็นเวลานาน 20 นาที่ ที่อุณหภูมิ 47 องศาเซลเซียส หลังจากที่เพิ่มอุณหภูมิผลขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึง 43 องศาเซลเซียส ด้วยอากาศร้อนที่มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ
การดำเนินการอื่นๆ เช่น คุณสมบัติของเครื่องกำจัดแมลงวันผลไม้การบรรจุและสถานที่บรรจุหีบห่อ การตรวจสินค้านำเข้า ฯลฯ ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับด้านกักกันพืชสำหรับมะม่วงสดที่ปลูกในประเทศไทย (บทความนี้มาจาก eThaiTrade.com)และประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ป่าไม้ และประมง ฉบับที่ 82, 1993 ของประเทศญี่ปุ่น
ก่อนส่งออกมะม่วงไปยังญี่ปุ่นดังกล่าวข้างต้น ต้องใช้วิธีกำจัดแมลงวันด้วยความร้อน กรรมวิธีอบไอน้ำปรับสภาพ
ความชื้นสัมพัทธ์ (modified vapor heat treatment, MVHT) เพื่อกำจัดไข่และตัวหนอนของแมลงวันผลไม้ 2 ชนิดได้แก่ oriental fruit fly, Bactrocera dorsalis (Hendel) และ Melon fly, B. cucurbitae (Coquillett) ที่อุณหภูมิผิวเมล็ดสูงถึง 47 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที โดยในช่วงแรกของการเพิ่มอุณหภูมิผล มะม่วงถึง 43 องศาเซลเซียส อากาศร้อนต้องมีความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 50 – 80 เปอร์เซ็นต์ และช่วงหลังจากผลมะม่วงอุณหภูมิ 43 องศาเซลเซียส อากาศร้อนต้องอยู่สภาพที่อิ่มตัวด้วยความร้อน ความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 95% หลังจากจากสิ้นสุดการให้ความร้อนแล้วต้องลดอุณหภูมิผลมะม่วง โดยเป่าด้วยลมหรือฉีดพ่นด้วยน้ำ
การกำจัดแมลงวันผลไม้มะม่วงก่อนส่งออกด้วยกรรมวิธีอบไอน้ำ ปรับสภาพความชื้นสัมพัทธ์ สามารถดำเนินการได้โดยนำมะม่วงไปทำการอบได้ที่ อาคารศูนย์พัฒนาการผลิตและควบคุมศัตรูผักผลไม้เพื่อการส่งออก กองปป้องกันและกำจัดศัตรูพืช กรมส่งเสริมการเกษตร กรุงเทพฯ (ดูที่อยู่ด้านล่าง)
การบรรจุหีบห่อและการคัดเลือกมะม่วง
ทำการคัดเลือกมะม่วงโดยใช้ระดับความสุกและน้ำหนักผล ความสะอาด และตำหนิ เป็นเกณฑ์เพื่อให้เกิดความสะดวกและความสม่ำเสมอของการจัดเรียงเสมอในบรรจุภัณฑ์ และเป็นไปตามมาตรฐานมะม่วง
ขนาดมะม่วงสำหรับแปรรูป มักใช้มะม่วงที่มีน้ำหนักผลอยู่ระหว่าง 170 – 350 กรัม หรือ 3 – 6 ผลต่อกิโลกรัม ผลมะม่วงต้องสะอาดไม่มีสิ่งปนเปื้อน เช่น น้ำมันโซล่า น้ำมันเครื่อง ดิน หิน กรวด ทราย
คุณลักษณะของภาชนะบรรจุมะม่วงเพื่อการส่งออก
ขนาดของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ ต้องเหมาะสมกับความต้องการของตลาด มิติของบรรจุภัณฑ์ต้องเหมาะสมกับ สภาพการขนส่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้กับเพลเลท ขนาดบรรจุที่นิยมใช้มีตั้งแต่ 2-15 กิโลกรัม
บรรจุภัณฑ์ต้องให้การปกป้องผลผลิตไม่ให้เกิดการเสียหาย ทั้งกายภาพและเชิงกล มีความแข็งแรง และมีความทนทานต่อการขนส่ง สามารถรองรับน้ำหนักของมะม่วง และการวางซ้อนเรียงในขณะทำการขนย้าย จากต้นทางไปปลายทางได้
กรณีของกล่องกระดาษลูกฟูก ความแข็งแรงของกล่องขึ้นกับชนิดของแป้งทำกาวและกระดาษลูกฟูกที่ใช้ในกระบวนการผลิตกล่อง ชนิดกระดาษทำกล่องมะม่วงควรใช้กระดาษที่มีน้ำหนัก กระดาษสำหรับทำผิวชั้น นอก 200 กรัมต่อตารางเมตร และกระดาษทำผิวชั้นใน 230 กรัมต่อตารางเมตร ส่วนกระดาษทำลอน ลูกฟูกควรอยู่ระหว่าง 125 – 160 กรัมต่อตารางเมตร
บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ต้องไม่ทำให้มะม่วงเสื่อมคุณภาพ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพ ที่ทำให้มะม่วงมีคุณลักษณะผิดไปจากธรรมชาติ จึงต้องมีระบบการระบายอากาศที่ดีพอ ที่จะไม่ทำให้มะม่วงเกิดการหายใจแบบขาดออกซิเจน
บรรจุภัณฑ์ต้องสามารถทนความชื้นสูงได้ ในกรณีที่ต้องเก็บมะม่วงในสภาพที่มีความชื้นสูง บรรจุภัณฑ์ที่ใช้จึงต้องสะอาด ปราศจากกลิ่นและวัตถุแปลกปลอม วัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนหมึกพิมพ์หรือกาว ต้องไม่ก่อให้เกิดมลภาวะและอันตรายต่อผู้บริโภค บรรจุภัณฑ์ที่สวยงามสามารถส่งเสริมการขายได้บรรจุภัณฑ์ต้องสามารถทำลายได้ง่าย หรือสามารถนำกลับมาหมุนเวียนใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เพื่อไม่ก่อให้เกิดมลภาวะและ/หรือเพิ่มต้นทุนค่าใช้จ่ายในการทำลาย
การส่งออกมะม่วง ใช้เอกสาร ดังนี้
ใบรับรองปลอดศัตรูพืชจากกรมวิชาการเกษตร (http://thaifloriade.doae.go.th/hort_cd/html/im2.htm)
ใบรับรับรองสารตกค้างจากกรมวิชาการเกษตร กรณีส่งออกไปยังประเทศ สิงค์โปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น สาธาณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง สหภาพยุโรป และสหรํฐอเมริกา (ดูวิธีการขอใบรับรอง)
หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (ฟอร์ม E) กรณีส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีน จากกรมการค้าต่างประเทศ ประกอบการขอใช้สสิทธิลดภาษีนำเข้า
ข้อมูลจาก
http://www.ethaitrade.com/blog/169
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น